หน้าแรก -> บทปัจฉิมกาล

บทปัจฉิมกาล


บทปัจฉิมกาล

ในทุกๆ มหาอนันตวัฏสงสาร ทั้ง ๓ กาลทั้งหมด มีแต่สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ และสมเด็จพระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ เท่านั้น ที่ทรงสามารถตรัสรู้ เป็นการค้นพบพระสัจธรรมที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติ เป็นปฐมด้วยพระองค์เอง โดยไม่ได้รับคําสั่งสอนจากท่านใดมาก่อนเลย

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ผ่านมาแล้วในอดีตทุกๆ พระองค์ และองค์ปัจจุบัน คือพระพุทธเจ้าโคดม ในแต่ละยุคสมัยของพระองค์ มีเกิดขึ้นได้เพียงครั้งละหนึ่งพระองค์เท่านั้น จะไม่มีการซ้ำซ้อนโดยเด็ดขาด เมื่อทรงตรัสรู้พระอริยสัจทั้ง ๔ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค พระธรรม ๘๔,๐๐๐ พระธรรมขันธ์ และ ฯลฯ ทั้งหมด ทั้ง ๓ กาล เป็นพระสัพพัญญู เป็นพระทศพลญาณ เป็นพระนารายณ์พลญาณ ทรงพระปัญญาธิคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาธิคุณ ได้ทรงแสดงธรรมเพื่อแนะนําสั่งสอนบอกชี้ทาง พร้อมทั้งประกาศตั้งพระพุทธศาสนาขึ้น โดยมีเหล่าพุทธบริษัททั้ง ๔ ทั้งหมด ได้ประพฤติปฏิบัติตามจนได้บรรลุธรรม ตามพระพุทธองค์อย่างมากมาย ตั้ง แต่ในสมัยแห่งพระพุทธกาล สืบๆ กันมาจนถึงยุคสมัยปัจจุบันนี้ พ.ศ.๒๕๕๖ ถ้าหากเหล่าพุทธบริษัท ๔ ยังคงตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามได้อย่างบริสุทธิ์ สมบูรณ์ บริบูรณ์ครบถ้วน ถูกต้องดีแล้วจริง การบรรลุธรรม ก็ยังคงมีให้เห็นสืบต่อๆ ไปในอนาคต จนถึง พ.ศ.๕,๐๐๐ ปี อย่างแน่นอน

ไม่มีใครจะเสียสละได้อย่างมากมายมหาศาล อย่างไม่อาจจะตีค่าหรือประเมินค่าได้ เสมอเหมือน หรือเท่าเทียม หรือใกล้เคียงได้ ในพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอรหันต์ทุกๆ พระองค์ พระโพธิสัตว์ทุกๆ พระองค์ สมเด็จพระบรมมหาจักรพรรดิทุกๆ พระองค์ และเหล่าท่านที่ทรงคุณงามความดี กําลังปฏิบัติธรรมอยู่ทั้งหมด ในปฐมแห่งชาติแรกสุด ที่ทรงเริ่มต้นแห่งการสร้างบุญกุศลบารมี

ทรงค้นคว้าพิสูจน์หาสัจธรรม ที่เป็นสุดยอด สูงสุดแห่งความปรารถนาของ พรหม เทวดา มนุษย์ อมนุษย์ และเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหมด ในทุกๆ มหาอนันต ๓๑ ภูมิ ทั้ง ๓ กาลทั้งหมด เพื่อให้ได้หลุดพ้นจาก อวิชชา กิเลส ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ... จากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จากเหตุแห่งทุกข์ทั้งหมด ไม่ต้องมาเวียนว่ายตายเกิดอีกต่อไป ไม่ต้องมาหลงผิด คิดผิด พูดผิด ทําผิด ไม่ต้องมาทําบาป ทําความชั่วอีกต่อไป ให้สามารถเป็นไท เป็นอิสระ ไม่เป็นทาส แห่งอวิชชาอีกต่อไป ให้สามารถเป็นผู้ทรงทาน ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ ทรงธรรมทั้งหมดอย่างแท้จริงตลอดไป

ชีวิตนี้น้อยนัก สั้นยิ่งนัก เป็นของไม่เที่ยง ไม่แน่นอน ความตายเที่ยงที่สุด เราทุกๆ คน สัตว์ทุกๆ ตัว วัตถุสิ่งของต่างๆ แม้กระทั้งพรหม เทวดา และเหล่าสรรพวิญญาณทั้งหลาย ก็ไม่อาจจะหนีพ้นจากความเกิด แก่ เจ็บ ตาย ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รัก ความไม่ได้สุขสมหวัง การอยู่กับสิ่งที่ไม่ชอบไปได้ ย่อมต้องถึงกาลแตกดับ ผุพัง เน่าเหม็น แตกสลาย เพียงแต่ไม่รู้ว่า จะตายเมื่อไร ที่ไหน ตายอย่างใด ไม่ตายเร็ว ก็ตายช้า ความตายนี้ ไม่เลือกว่าเป็นเพศใด ไม่เลือกว่าวัยใด ไม่เลือกฐานะใด ไม่เลือกว่าจะเป็นอะไรทั้งสิ้น

การกระทําใดๆ ที่ผิดพลาดทั้งหมดในอดีต เราไม่สามารถย้อนเวลาเพื่อกลับไปแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ เพราะได้จบสิ้นไปแล้ว ได้ผ่านไปแล้ว ส่วนเรื่องราวในอนาคต ยังไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้เพราะยังมาไม่ถึง ปัจจุบันเป็นเวลาที่ดีที่สุด สามารถจะทําการแก้ไขเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงตัวเราเองให้เป็นคนดียิ่งๆ ขึ้นไปได้ เราเกิดมาคนเดียว เราเจ็บป่วยเป็นไข้ไม่สบายคนเดียว เราแก่คนเดียว เราตายคนเดียว ไม่มีใครจะมาร่วมช่วยแบ่งปันสิ่งเหล่านี้ให้แก่เราได้

ถ้าสมมติว่าความตายแบบปัจจุบันทันด่วน จะมาถึงเราอย่างแน่นอนภายในอีกไม่กี่นาทีข้างหน้า เราจะคิดทําประการใด ให้เป็นประโยชน์อย่างสูงสุด เกิดมาทั้งที ได้ทําอะไรให้เป็นที่พึ่งแก่ตนเองบ้าง ที่เป็นเสมือนมิตรแท้ ที่คอยเป็นกําลังใจ ให้ไม่ทุกข์ร้อน ไม่หวาดกลัว ไม่กระวนกระวาย ให้สงบเย็นอย่างมั่นคง ก่อนที่ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมด รวมถึงตัวของเราเอง ซึ่งเป็นศูนย์กลางแห่งสิ่งที่มีค่าสําคัญมากที่สุด ยิ่งกว่าสิ่งใดๆ ในตอนนี้ จะต้องจบสิ้นลงไปแต่เพียงเท่านี้ ก่อนที่ร่างกายและจิตดวงนี้ จะแตกดับ โดยไม่สามารถจะต่อรอง หรือขัดขืนได้อีกต่อไป สิ่งที่ได้กระทํามาแล้วทั้งหมด คงเหลือเพียงความดี คือ บุญ และความชั่ว คือ บาป เท่านั้น ที่จะคอยติดตามให้ได้รับผลสืบต่อไป ภาพนิมิตแห่งการกระทําต่างๆ ทั้งบุญและบาป จะเริ่มปรากฏขึ้น แต่ส่วนใหญ่ จะเป็นภาพนิมิตแห่งการกระทําบาป คือ ความชั่วทั้งปวง จะปรากฏขึ้นอย่างมากมาย แต่จะมีภาพนิมิตแห่งกรรมชั่วภาพหนึ่งซึ่งชัดเจนมาก ถ้าหาก ตายตอนนี้ เบื้องหลังแห่งความตาย ในภพชาติใหม่ ย่อมเป็นโทษทัณฑ์อันสาหัส แสนทุกข์ทรมาน และไม่มีสิ่งใดๆ จะมาช่วยเหลือเราได้

ดังนั้น ช่วงก่อนเวลาใกล้จะตาย เพียงไม่กี่นาที จึงเป็นช่วงเวลาแห่งนาทีทองจริงๆ แม้คิดห่วงใย เพื่อสั่งเสีย บอกลา ก็ไม่ทันเสียแล้ว แม้คิดจะไปช่วยใคร หรือคิดจะไปจัดการใคร ก็ไม่ทันเสียแล้ว ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน อย่างแท้จริงในตอนนี้

ฉะนั้น ถ้ายังมีชีวิตเป็นปกติสุขอยู่ ขออย่าได้ประมาทว่ายังเป็นหนุ่ม เป็นสาว เป็นเด็กเล็กอยู่ เพราะการยังมีชีวิตอยู่ เป็นเวลาที่ประเสริฐสุดแสนจะมหัศจรรย์ ทรงคุณค่าอย่างสูงสุด ในสําหรับท่านที่ทรงปัญญา และรู้คุณค่า ที่จะสามารถแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง การกระทําทางกาย ทางวาจา ทางใจ ให้ได้พัฒนาดีขึ้นยิ่งๆ ขึ้นไป ในทุกๆ เรื่อง จงรักตนเอง สงสารตนเอง เมตตาตนเอง อย่าได้ทําร้าย อย่าได้ทําลายตนเอง จงยกโทษ จงให้อภัย จงอโหสิกรรมให้แก่ตนเองมากๆ จงเป็นเพื่อนที่ดี ที่คอยดูแลเอาใจใส่ให้แต่สิ่งที่ดีๆ ไม่เคยทอดทิ้ง ไม่เคยทําให้เสียใจ ไม่เคยทําให้ผิดหวัง ไม่เคยถือโทษ โกรธเคือง ไม่เคยทวงบุญคุณ ไม่เคยมีข้อแม้ ไม่เคยคิดจะทําร้าย จงหยิบยื่นให้แก่ตนเองให้มากๆ

การได้เกิดมาเป็นมนุษย์ ได้มาพบพระพุทธศาสนา ได้มาปฏิบัติธรรม กับท่านพระอาจารย์ ที่ได้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากมาก ยิ่งถ้าได้ปฏิบัติธรรมเข้าถึงไตรสรณคมณ์ ถึงสัมมาทิฏฐิ ถึงญาณทัศนะ ถึงโคตรภู ถึงมรรค ๔ ผล ๔ นิพพาน๑ ยิ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ยากที่สุด แห่งที่สุด ต้องพยายามหมั่นพิจารณาอย่างสม่ำเสมอ ให้เห็นว่า คนและสัตว์ทั้งหลาย ล้วนแต่เกลียดทุกข์ ชอบสุข กลัวตาย ไม่ควรเบียดเบียนทําความทุกขฺ์ ทําความลําบาก เดือดร้อน ให้แก่กันและกันเลย

ควรรู้ว่าอะไรผิด อะไรถูก อะไรดี อะไรชั่ว อะไรควรทํา อะไรไม่ควรทํา อะไรเป็นประโยชน์ อะไรเป็นโทษ อะไรเป็นหนทางแห่งความเจริญ อะไรเป็นหนทางแห่งความเสื่อม อะไรที่ท่านผู้รู้ติเตือนห้ามทํา อะไรที่ท่านผู้รู้ แนะนํา สนับสนุนให้ทํา

มีลาภได้ก็เสื่อมลาภได้ มียศได้ก็เสื่อมยศได้ มีสุขได้ก็ย่อมมีทุกข์ได้ มีนินทาได้ก็ย่อมมีสรรเสริญได้

เข้าไปยึด สิ่งไม่เที่ยง ผลที่ได้ คือ ความไม่เที่ยง

เข้าไปยึด สิ่งที่เป็นทุกข์ ผลที่ได้ คือ เป็นทุกข์

เข้าไปยึด สิ่งที่เป็นอนัตตา ผลที่ได้ คือ ไม่สามารถไปบังคับสิ่งนั้นให้ได้สุขสมหวังดั่งที่ใจต้องการปรารถนา ให้ได้เป็นอย่างนั้นอยู่ตลอดเวลา

เห็นทุกข์เกิดขึ้น เห็นทุกข์ตั้งอยู่ เห็นทุกข์ดับไป เห็นความไม่เที่ยงเกิดขึ้น เห็นความไม่เที่ยงตั้งอยู่ เห็นความไม่เที่ยงดับไป เห็นการไม่อาจจะเข้าไป จัดการ ควบคุมบังคับ ให้ทุกๆ สิ่ง ทุกๆ อย่าง ได้เป็นไปตามที่ต้องการปรารถนา เกิดขึ้น ตั้งอยู่และดับไป

ให้เห็นว่า ร่างการนี้เป็นบ่อเกิดแห่งโรค เป็นบ่อเกิดแห่งทุกข์ เป็นบ่อเกิดแห่งสิ่งปฏิกูล สกปรกโสโครก เป็นอสุภะ เมื่อตายไป เป็นซากศพเน่าเหม็น เป็นสิ่งน่ากลัว น่ารังเกียจ ไม่เป็นที่ต้องการอีกต่อไป

ให้เห็นทุกข์ เห็นเภทภัย เกิดความเบื่อหน่าย เกิดความเอือมระอา เกิดความขยะแขยง เกิดความสลดสังเวช

ให้น้อมเข้ามาพิจารณาข้างใน กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก แล้วพิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน สลับกันกลับไปกลับมาในทุกๆ ด้าน

พิจารณาในการละความชั่วทั้งปวงของตนเอง เป็นสิ่งสําคัญ ไม่ไปเพ่งโทษผู้อื่นเพราะไม่เกิดประโยชน์อะไร ไม่คุ้มค่ากับเวลาที่สูญเสียไป เราเป็นผู้ได้สำนึกผิดแล้วและยินยอมรับในความผิดพลาด ที่ได้กระทํามาแล้วในทั้งหมด ขอตั้งใจอย่างแน่วแน่เพื่อกระทําการแก้ไข ปรับปรุงตัวเองเสียใหม่ และจะไม่ยอมทําความผิดเหล่านี้อีกต่อไป ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม และเต็มใจเพื่อกราบขอขมาลาโทษ ต่อทุกๆ ท่าน ขอทุกๆ ท่าน ได้โปรดยกโทษอโหสิกรรมให้ด้วย ส่วนใคร หรือ ไม่ว่าจะเป็นอะไรก็ตาม ที่ได้ทําไม่ดีทั้งหมดแก่เรา เรายินดีให้อภัย ยินดียกโทษอโหสิกรรม ในความผิดเหล่านั้นทั้งหมด เราจะไม่เป็นศัตรูกับใครๆ ทั้งสิ้น เราจะไม่อาฆาตพยาบาทสาปแช่งใคร เราจะไม่จองเวรจองกรรมใคร อีกต่อไป เราจะเป็นมิตรที่ดีกับทุกๆ คน และเหล่าสรรพสัตว์ทั้งหลายตลอดไป เราจะบําเพ็ญตนเพื่อให้เกิดประโยชน์และความสุข แก่ส่วนตนและส่วนรวม ให้ได้มากที่สุด ให้เป็นธรรมที่สุด เท่าที่จะพยายามได้ จนกว่าชีวิตนี้จะหาไม่

การพิจารณาเพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมสําหรับตายก่อนตาย ถ้าเมื่อความตายใกล้มาถึงแล้ว เราจะไปโลภ คือ ความอยากได้ที่ไม่ถูกต้อง ในสิ่งของ หรือ เรื่องอะไรก็ตาม จะเป็นของเราหรือของใครๆ เพื่ออะไร ถึงคิดอยากจะทํา ก็ไม่สามารถทําได้สําเร็จ เราจะไปมีราคะที่ไม่ถูกต้องในเรื่องต่างๆ เพื่ออะไร ถึงจะทําก็ไม่สามารถทําได้สําเร็จ เราจะไปมีโทสะ คือ ความโกรธแค้น เพื่ออะไร ถึงจะทําก็ไม่สามารถทําได้สำเร็จ เราจะไปมีโมหะ คือ ความหลงผิดต่างๆ เพื่ออะไร ถึงจะทําก็ไม่สามารถทําได้สําเร็จ

การพิจารณาให้เป็นทาน เป็นศีล เป็นสมาธิ เป็นปัญญา เป็นวิปัสสนา ย่อมสามารถทําได้ ถ้าได้ผึกฝนมาอย่างดีจริงแล้วเท่านั้น ถ้าไม่ก็ทำไม่ได้ เพราะก่อนร่างกายจะแตกดับย่อมเจ็บปวดทุกข์ทรมานมาก จึงควบคุมจิตใจได้ยาก ซึ่งโดยทั่วไปคนส่วนใหญ่ ยังคงเป็นผู้ตั้งอยู่ในความประมาท ในศึกชิงภพ ก่อนตายอาจจะเสียเปรียบพ่ายแพ้ ต่อกรรมชั่ว หรือ บาปกรรม ที่ส่งผลให้ได้รับก็เป็นได้

เมื่อได้ละความชั่วทั้งหลายไปทีละอย่าง หรือแม้จะเป็นปฐมครั้งแรกสุด แห่งการละความชั่ว ในชีวิตก็ตาม แม้ในขณะปัจจุบันนี้ ยังไม่ได้มีโอกาสเริ่ทําบุญทําทาน เพิ่มเติมก็ตาม ความบริสุทธิ์ใจ ได้บังเกิดเป็นผลโดยอัตโนมัติขึ้นมา อย่างเป็นอิสระที่กลางใจ ด้วยปัญญาที่กล้าหาญ ที่เสียสละ เป็นความสงบเย็น สว่างไสว ที่สวยสดงดงามยิ่งนัก อย่างทันทีทันใด ในขณะที่ละความชั่วนั้นได้สําเร็จจริง

สําหรับเฉพาะเรื่องการปฏิบัติธรรมสร้างบุญบารมีเท่านั้น เริ่มต้นอย่างนี้ คือ

แม้ต้องเสียทรัพย์ เสียอวัยวะ เสียชีวิต ก็จะไม่ยอมทําบาป จะไม่ยอมทําความชั่ว จะไม่ยอมทําความผิด อยู่อย่างนี้ จะเพียรพยายาม เพื่อการละบาป ละความชั่ว ละการกระทําความผิด อยู่อย่างนี้ จะให้ทาน รักษาศีล เจริญสมาธิ เจริญปัญญา เพื่อทําให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน อยู่อย่างนี้

การคิด การพูด การกระทําในทั้งหมด เริ่มต้นที่ใจ ที่เป็นกลาง ตั้งแต่ในปัจจุบันนี้เป็นต้นไป ควรตั้งใจลงไปว่า จะพยายามกระทํา โดยความบริสุทธิใจ ไม่หวังผลอะไรๆ เพื่อเป็นการตอบแทน โดยไม่มีข้อแม้ใดๆ โดยไม่หวังผลกําไร หรือ การขาดทุน โดยไม่มีการแลกเปลี่ยน โดยไม่มีอะไรแอบแฝง โดยไม่มีการต่อรอง โดยไม่มีผู้ให้ ไม่มีผู้รับ ไม่มีวัตถุสิ่งของ ที่ถูกให้และถูกรับ ไม่มีการดูดรั้ง และการผลักต้าน ไม่มีการเข้าไปตอบรับ หรือ ปฏิเสธ ให้เป็นการทําหน้าที่ ตามหน้าที่ ที่ควรทํา ให้ธรรมชาตินั้น ได้เป็นไปด้วยกฎของธรรมชาติเอง เป็นธรรมชาติ ที่ไม่มีการสมมุติ เป็นธรรมชาติที่การสมมุติไปไม่ถึง

โดยท่านอาจารย์ไตรรงค์ ปุรินทราภิบาล


บอร์ดธรรมะ

สารบัญ